ค่ายฮอนด้า ยังคงมุ่งทำตลาดอย่างต่อเนื่องล่าสุดในช่วงกลางปีได้มีการเปิดตัว New Honda City โฉมไมเนอร์เชนจ์ ที่มาพร้อมความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยดีไซน์ใหม่รอบคัน กับขุมพลังที่มีให้เลือก 2 รูปแบบทั้งฟูลไฮบริด e:HEV และขุมพลัง VTEC TURBO 1.0 ลิตร รวมทั้งยังได้รับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่งที่ติดตั้งในทุกรุ่นย่อย เคาะราคาจำหน่ายระหว่าง 629,000 – 839,000 บาท
สำหรับ
Honda City รุ่นไมเนอร์เชนจ์ปรับโฉมใหม่ จะมีให้เลือก 5 รุ่นย่อยได้แก่
1.0 V,
1.0 SV,
1.0 RS,
e:HEV SV และ
e:HEV RS
ในด้านรูปลักษณ์หน้าตาจะได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ เพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้นกันชนหน้า และกันชนหลังดีไซน์ใหม่ มาพร้อมกระจังหน้าโครเมียม, ชุดไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ
LED และไฟท้ายแบบ
LED มาพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
ในส่วนของมือจับประตูด้านนอกโครเมียม, กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว, ฝาครอบกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ, เสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ ส่วนล้ออัลลอยขนาด 15 – 16 นิ้ว
ขณะที่ในรุ่น
RS และ รุ่น
e:HEV RS จะเพิ่มความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นด้วย กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่, กันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง ดีไซน์ใหม่, สปอยเลอร์หลังดีไซน์สปอร์ตแบบ, มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ , ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำเงา, เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำเงา, ล้ออัลลอยแบบทูโทนสไตล์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว อีกทั้งยังได้รับระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (รุ่น
e:HEV RS)
ภายในห้องโดยสารคอนโซลหน้าจะมีให้เลือกทั้งแบบสีเงิน และสีดำ เบาะที่นั่งจะมีให้เลือกทั้งแบบหุ้มด้วยวัสดุผ้า, หนังแท้ และหนังสังเคราะห์สีดำ (ขึ้นอยู่แต่ละรุ่นย่อย) ส่วนในรุ่น
RS และรุ่น
e:HEV RS จะตกแต่งด้วยตกแต่งคอนโซลด้วยวัสดุหน้าสีแดงเมทัลลิก พร้อมหุ้มเบาะด้วยหนังแท้ และหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง
ด้านชุดอุปกรณ์ จะมาพร้อมกับ มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ
TFT ขนาด 7 นิ้ว หร้าจออินโฟรเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แรองรับการเชื่อมต่อ
Apple CarPlay และ
Android Auto แบบไร้สาย
อีกทั้งยังได้รับระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย
Bluetooth, พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์, พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง มาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง
นอกจากนั้นยังได้รับปุ่ม
ECON, ช่องเชื่อมต่อ
USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลังแบบ
Type-C 2 ตำแหน่ง, ลำโพง 8 ตำแหน่ง, กระจกมองหลังแบบตัดแสง, แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า, ไฟอ่านแผนที่และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร, ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย, พนักเท้าแขนด้านหน้า, พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว และช่องเก็บของหลังเบาะนั่งคนขับและหลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมช่องเก็บของขนาดเล็ก รวมถึงระบบเชื่อมต่อ
Honda CONNECT, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ และระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ
ด้านระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งระบบ
Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ประกอบด้วย 6 ฟังก์ชัน ได้แก่ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก
CMBS, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ
LKAS, ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ
RDM with LDW, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
AHB, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน
ACC, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำ
ACC with LSF และระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่
LCDN
รวมถึงยังได้รับระบบแสดงภาพมุมอับสายตา
Honda LaneWatch, กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ, ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน
Auto Brake Hold, ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อกุญแจอยู่ห่างจากตัวรถ, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมระบบปรับอากาศด้วยกุญแจ, ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารคู่หน้า, ระบบเบรก
ABS/EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว, ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางชัน และสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน เป็นต้น
ในด้านพละกำลังจะมีให้เลือก 2 ระบบ ได้แก่ ขุมพลัง
TURBO กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว ที่มาพร้อม Turbo Charger มอบกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.8 กม./ลิตร และรองรับน้ำมันทางเลือกสูงสุด E20
และขุมพลังฟูลไฮบริด
e:HEV ที่เป็นการทำงานผสานกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร
Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ส่งกำลังด้วยเกียร์
E-CVT และ แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบแรงบิดมอเตอร์สูงสุด ที่ 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.8 กม./ลิตร รองรับน้ำมันทางเลือกสูงสุด E20 มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่
EV Drive Mode,
Hybrid Drive Mode และ
Engine Drive Mode
Honda City จะมีเฉดสีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่
- สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
- สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS)
- สีขาวแพลทินัม (มุก) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV, และ e:HEV RS)
- สีดำคริสตัล (มุก)
- สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
- สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
- สีขาวทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น V)
สำหรับราคาจำหน่าย
Honda City 2023 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย
- รุ่น e:HEV RS ราคา 839,000 บาท
- รุ่น e:HEV SV ราคา 769,000 บาท
- รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
- รุ่น SV ราคา 679,000 บาท
- รุ่น V ราคา 629,000 บาท